love at first sight - love at first sight นิยาย love at first sight : Dek-D.com - Writer

    love at first sight

    อ่านเองแล้วจะรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่เกิดจากการคาดหวังจากความรัก

    ผู้เข้าชมรวม

    525

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    525

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักดราม่า
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  1 ส.ค. 49 / 20:18 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

                                       
             สวัสดีค่ะ ผู้ที่กรุณาเปิดเข้ามาเยี่ยมชมทุกท่าน (พูดซะเป็นทางการเชียว) เอาเป็นว่า เราเป็นแฟนเว็บเด็กดีมาตั้งสมัยม.ปลาย (ตอนนี้แก่มากแล้ว ฮ่าๆ) ช่วงนั้นเว็บเด็กดียังไม่บูมขนาดนี้

                เรารู้คะว่าช่วงนี้ผู้อ่านหลายๆท่านคงติดสอบกันมากมาย แต่เราสอบเสร็จแล้ว โฮะๆๆๆ ถ้าใครว่างๆผ่านไปผ่านมา มาอ่านแล้ว ช่วยคอมเมนต์ด้วยนะคะ ความจริง เรื่องนี้เขียนนานแสนนานมาแล้ว แต่เพิ่งมา รีไรท์ มันอาจจะเป็นเรื่องสั้นที่น่าเบื่อและยาวสักหน่อยนะ แต่ถ้าจะกรุณาช่วยวิจารณ์ทีนะคะ 




          
      love at first sight
                  (rewrite)                              
                                        
                                      < ขุนเขา+สายน้ำ >


               กริ๊ง! กริ๊ง! กริ๊ง!...... เสียงโทรศัพท์ที่แสนน่ารำคาญดังขึ้นติดกันหลายครั้ง ทำให้ฉันต้องละสายตาจากหนังสือนวนิยายเล่มโปรดด้วยความเสียอารมณ์อย่างที่สุด เพราะฉันไม่ชอบให้ใครโทรมารบกวนเวลาที่ฉันกำลังอ่านหนังสือ


      " ฮัลโหล! ใครวะ " ฉันกระแทกเสียงลงไปในโทรศัพท์อย่างแรงด้วยความไม่สบอารมณ์เป็นอย่างยิ่ง


      " เราเอง หวาน ถามหน่อยสายน้ำ เธอไปกินรังแตนที่ไหนมา เสียงถึงได้เป็นแบบนั้น " หวานเพื่อนโรงเรียนและหอเดียวกันของฉันนั่นเองที่โทรมา


      " ไม่ได้ไปกินรังแตนที่ไหนมาหรอก เรากำลังอ่านนวนิยายอยู่ โทรมากวนเราทำไมวะ " ฉันตอบกลับไปทั้งๆที่ยังเสียอารมณ์ ไม่หาย


      " เราจะรู้ได้ไงฮะว่าเธอกำลังอ่านหนังสืออยู่ ที่โทรมานี่ก็แค่อยากจะบอกว่า พรุ่งนี้พวกเราต้องตื่นเช้าๆหน่อย เพราะเป็นวันไหว้ครู ไม่รู้ว่าเขาทำอะไรกันมั่ง พวกเราต้องรีบไปเช้าๆหน่อย อย่าลืมเตือนกานต์ด้วยละ "


                  ฉันคิดไว้ละว่าหวานต้องโทรมาเรื่องนี้ เวลาโรงเรียนมีงานทีไร หวานก็มักจะโทรมาบอกให้ตื่นแต่เช้าเสมอ แต่ผลก็คือไปโรงเรียนสายเหมือนเดิม เพราะต่างคนต่างขี้เกียจตื่นนั่นเอง


               " เออ... รู้แล้วน่า เดี๋ยวจะเตือนกานต์ให้ ตอนนี้มันกำลังอาบน้ำอยู่ แค่นี้นะ"    ฉันพูดจบและกำลังจะวางหูโทรศัพท์แต่เสียงหวานก็ขัดขึ้นมาเสียก่อน


      " เฮ้ยๆ เดี๋ยวก่อน แล้วเธออาบน้ำยังนี่ " หวานถาม


      " ยังเลยอะ ตอนนี้กี่โมงแล้วนี่ " ฉันพูดพร้อมกับเหลือบมองเข็มนาฬิกาเข็มสั้นที่ชี้ตรงเลขหนึ่งพอดี " ตายแล้ว!!! ตีหนึ่งแล้วเหรอนี่ " ฉันตะโกนออกมาด้วยความตกใจ เพราะไม่นึกเลยว่าเวลาจะเดินเร็วขนาดนี้ เผลอแป๊บเดียวก็วันใหม่ละ


      " ก็เธอมัวแต่อ่านนิยายบ้าบอคอแตกอยู่นะสิ " หวานกล่าวตำหนิ
       
      " รีบไปอาบน้ำแล้วก็เข้านอนได้แล้วไป เราก็จะนอนละ บาย กูดไนท์ "


      " อืม บาย กูดไนท์ ซียู " ฉันวางหูโทรศัพท์พร้อมกับที่กานต์เปิดประตูห้องน้ำออกมา


                ทันที ฉันดีใจมากเพราะขี้เกียจรอกานต์อาบน้ำเป็นที่สุด กานต์ใช้เวลาอาบน้ำอย่างต่ำเป็นชั่วโมง ฉันรีบไปเก็บหนังสือที่ทิ้งกระจัดกระจายอยู่บนเตียง หลังจากนั้นก็รีบไปอาบน้ำก่อนที่จะเข้านอนหลับฝันดีไปด้วยความสุข


                     --------------------------------------------------------


      " เร็วๆ รีบแต่งตัวเร็ว เดี๋ยวไปโรงเรียนไม่ทันนะสายน้ำ " กานต์เร่งเพราะฉันพึ่งเดินออกจากห้องน้ำมา


      " เออน่า ระดับไหนแล้ว แต่งตัวห้านาทีก็เสร็จ " ฉันตอบพร้อมกับเร่งแต่งตัวอย่างรวดเร็ว


                เมื่อฉันและกานต์แต่งตัวเสร็จ เราทั้งสองก็พากันออกไปรอหมวย หวาน และรินข้างหน้าหอพักเพื่อเตรียมตัวจะเดินไปโรงเรียนด้วยกัน เมื่อพวกเราไปถึงโรงเรียน นักเรียนส่วนมากก็มาตั้งแถวกันแล้ว พวกเราจึงรีบเอากระเป๋านักเรียนขึ้นไปเก็บบนห้องเรียนและรีบวิ่งไปเข้าแถวอย่างรวดเร็ว


                  วันนี้ในตอนเช้าจะมีการประกอบพิธีไหว้ครู นักเรียนชั้นมัธยมปลายทุกคนต้องเดินแถวเข้าไปทำพิธีในโรงยิม นักเรียนทุกคนต่างก็นั่งเป็นแถวตามที่ซ้อมกันไว้เมื่อวาน แต่เสียงคุยก็ดังขึ้นเป็นระยะๆตามประสาเด็กวัยรุ่น


      " นี่ แซนด์ วันนี้วันที่เท่าไหร่อะ สมองเราเบลอจนจำวันเวลาไม่ได้ละ " ฉันเอ่ยถามแซนด์เพื่อนสนิทคนหนึ่งของฉันที่มีรสนิยมชื่นชอบเพลงสากลเหมือนกัน ฉันกับแซนด์มักจะชวนกันร้องเพลงในทุกเวลาที่เราว่าง ซึ่งมันก็ช่วยผ่อนคลายอารมณ์ได้เป็นอย่างดี


      " วันนี้เหรอ วันที่ 12 มิถุนายน " แซนด์ตอบฉันด้วยสีหน้าเรียบเฉย


      " เราไม่ชอบนั่งกับพื้นนานๆอย่างนี้เลย ปวดขาวะ เราขี้เกียจเปลี่ยนท่านั่งทุกๆสิบห้านาที" ฉันบ่นให้แซนด์ฟัง


      " เออ เราก็ไม่ชอบนั่งกับพื้นนานๆเหมือนกันแหละ " แซนด์เห็นด้วยกับฉัน พิธีไหว้ครูก็ยังคงดำเนินต่อไปอย่างน่าเบื่อหน่าย


      " แซนด์ แซนด์ เรามาร้องเพลงกันดีกว่าไหม เรารู้สึกเบื่อๆวะ " ฉันชวนแซนด์เพราะหากไม่หาอะไรทำสักอย่าง ฉันต้องหลับแน่ๆ


      " ก็ดีเหมือนกัน เราก็เบื่อ ร้องเพลงไรดี " แซนด์ถาม


      " อืม Don't say it's too late ของ Westlife " ฉันเสนอเพราะตอนนี้ฉันกับแซนด์บ้า Westlife มาก


      And I would risk it all for you
      To prove my love is true
      I 'll build a wall around my heart
      That would only break a part for you
      Can't change the way I feel
      To tell me what's the deal
      Don't say Don't say it's too late


      " เพลงนี้เพราะดี ความหมายก็ดี เราโคตรชอบเลย " แซนด์พูดขึ้นเมื่อร้องเพลงจบลง

                   ฉันกับแซนด์นั่งคุยกันอีกมากมายหลายเรื่อง โดยไม่สนใจสังคมรอบข้างว่าเขาทำอะไรกันไปถึงไหนแล้ว และแล้ววินาทีที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของฉันให้ตกลงไปในห้วงแห่งความรักที่ยากจะถอนตัวก็มาถึงฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าฉันจะไปชอบใครจริงๆจังๆเข้า เพราะที่ผ่านมาฉันก็แค่ชื่นชมว่าใครดูดีไปวันๆ แต่ก็ไม่เคยมีใครเข้ามาอยู่ในหัวใจฉันได้สักที

                   มีหลายๆคนที่เขาพูดกันว่าหน้าตาดีและนิสัยดีมากแต่ฉันก็ไม่เคยชอบใครเลย ไม่รู้เพราะอะไรเหมือนกัน บางทีฉันอาจจะไม่อยากทิ้งหัวใจไว้ที่นี่ซึ่งไม่ใช่บ้านเกิดของฉัน สักวันหนึ่งฉันก็ต้องจากที่นี่ไป

                    ฉันเคยคิดว่าสามปีที่มาเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ฉันคงจะไม่ชอบใครเลยล้านเปอร์เซ็นต์ ฉันเกือบจะตัดเรื่องความรักออกไปจาก หัวใจได้เลย แต่ผิดคาดทั้งหมด ฉันได้เรียนรู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่เป็นไปตามความคิดของเราเสมอไป


      " ตอนนี้ถึงเวลาประกาศผลรางวัลชนะเลิศประกวดกลอนภาษาไทยวันครูแล้วนะครับ "


                  เสียงประกาศนี้ทำให้ฉันสนใจขึ้นมาทันที เพราะฉันเป็นคนที่ชอบแต่งกลอนมาก แต่ยังไงครั้งนี้ฉันก็คงไม่ได้เพราะกลอนที่แต่งไปวันนั้นห่วยสุดๆเท่าที่เคยแต่งมา แต่ฉันก็อยากจะรู้ว่าใครจะได้ที่หนึ่ง เพราะถ้าหากแต่งได้ดีจริงๆ ฉันจะได้เข้าไปทำความรู้จัก


      " รางวัลชนะเลิศอันดับหนึ่ง นายขุนเขา ลำเนาไพร ชั้นม.5/7 " เมื่อประกาศเสร็จเสียงปรบมือก็ดังก้องไปทั่วโรงยิม


      " ใครวะไม่เห็นรู้จักเลย เป็นนักร้องประสานเสียงซะด้วย เอ.... อยู่ม.5 เหมือนเราซะด้วยสิ ทำไมไม่เคยเห็นเลยวะ หน้าตาเหมือนเด็กๆเลย น่ารักดี " ฉันคิดในใจ และคำถามมากมายก็ผุดขึ้นมาในใจฉัน


      " หัตถ์ประนม ก้มเกศ ด้วยเจตจิต " เขาคนนั้นเริ่มอ่านบทกวีที่เขาแต่งให้ทุกคนได้ชื่นชม


      " โห สุดยอด นับถือๆ แค่ขึ้นต้นก็กินขาด " ฉันคิดในใจ ฉันไม่สงสัยเลยว่าทำไมบทกวีนี้ถึงได้รางวัลชนะเลิศ ฉันชักอยากจะรู้จักคนแต่งซะแล้วสิ เพราะคนแต่งกลอนที่ใช้คำได้ถูกใจฉันหายากนัก  แต่เวรกรรม..... ฉันจำชื่อของเขาไม่ได้ แต่ฉันกลับจำหน้าตาเขาได้อย่างชัดเจนทั้งๆที่ไม่เคยเห็นมาก่อน และเมื่อพิธีวันไหว้ครูเสร็จสิ้นลง บรรดานักเรียนต่างพากันแยกย้ายไปเรียนคาบต่อไปตามปกติ


                  ....................................................................................


      " เฮ้ย ไอ้ก้อย   แกเห็นคนที่ได้กลอนภาษาไทยวันครูที่หนึ่งไหม  แต่งโคตรเพราะเลย  เชื่อไหมเราไม่เคยเห็นมันมาก่อนเลยนะเนี่ย "  ฉันเอ่ยถามเพื่อนสายวิทย์คนหนึ่งของฉัน


      " ไอ้นั่นนะเหรอ  มันชื่อขุนเขาอยู่ห้องเดียวกับเรา  แต่มันโคตรเลี่ยม (เป็นคำเฉพาะที่พูดกันในกลุ่มเด็กเชียงใหม่ ซึ่งหมายถึงคนที่ชอบโชว์ออฟ เสนอหน้า) เลย "  ก้อยตอบ


      " แล้วเลี่ยมยังไงละ "  ฉันสงสัย


      " เราก็อธิบายไม่ถูกวะ  แบบมันชอบเสนอหน้าอะ  ชอบออกไปหน้าห้องอะ "  ก้อยอธิบาย


      " เหรอ  แล้วมันเรียนเก่งหรือเปล่า "   ฉันถามต่อ


      " เก่งดิ  มันบอกว่ามันได้เกรดเฉลี่ย  3.9  มันได้อังกฤษเกรด 3  "  ก้อยตอบ


      " แล้วอังกฤษมันอยู่สีอะไร  ( อังกฤษที่ รร แห่งนี้มีการแบ่งระดับเป็นสี มีตั้งแต่สี1-9  สี1 เป็นสีที่เก่งที่สุด ) "  ฉันถามด้วยความอยากรู้


      " สีสองมั้ง  ไม่แน่ใจนะ "  ก้อยตอบ


      " สีสองยังได้เกรดสามอีกเหรอวะ "  ฉันสงสัย


      " เราก็ไม่รู้   ไปเรียนก่อนนะ "  ก้อยตัดบท


                     ฉันไม่นึกเลยว่าขุนเขาจะอยู่ห้องเดียวกับก้อย หลังจากที่ฉันได้ข้อมูลของขุนเขาจากก้อยมา  ฉันก็เริ่มสนใจขุนเขาโดยที่ไม่รู้ตัว  


                      เวลาล่วงเลยผ่านไปงานกรีฑาสีก็ใกล้เข้ามาทุกที  แต่ละสีต่างช่วยกันคนละไม้คนละมือในการประดิษฐ์อุปกรณ์ที่หลากหลายเพื่อให้สีของตนเด่นที่สุดในงาน  

                       ฉันอยู่สีฟ้า  ส่วนขุนเขาอยู่สีม่วง  ฉันเพิ่งมารู้ทีหลังว่าขุนเขาเป็นลีดส์ธง  เหตุเนื่องมาจากวันหนึ่งฉันและเพื่อนๆหกเจ็ดคนนั่งอยู่ในห้องเรียน  และลีดส์ธงสีม่วงมาฝึกซ้อมบริเวณลานข้างล่างซึ่งตรงกับห้องเรียนของฉันพอดิบพอดี   ฉันกับเพื่อนๆก็เลยโผล่หน้าออกจากหน้าต่างไปดู  และแล้วฉันก็เห็นขุนเขา


      " นี่ๆ  ฟ้า   ฟ้าว่าคนนั้นน่ารักไหม "  ฉันถามฟ้า


      " ก็ดีนะ  เราเห็นมันมาตั้งแต่ม.4ละ  รู้สึกว่าตอนนั้นมันเคยใส่แว่นด้วย "  ฟ้าตอบ


      " พูดจริง  เราไม่เคยเห็นมันมาก่อนเลย  เราเพิ่งเห็นครั้งแรกตอนวันครู  แต่งกลอนโคตรเก่งเลย  ต้องหาทางรู้จักให้ได้ "  ฉันบอกฟ้า  แต่คิดไปคิดมานะ  ฉันจะเคยเห็นขุนเขาได้ยังไงละในเมื่อฉันเคยสนใจใครซะที่ไหน


      " พ่อมันเป็นหมอฟัน "  ฟ้าบอกต่อ


      " เหรอ  เราไม่สงสัยเลยว่าทำไมมันเรียนเก่ง  พ่อเป็นหมอนี่เอง  ไอ้นี่เด็ก 3.9 นะโว้ย  แต่มีคนบอกว่ามันเลี่ยมอะ "  ฉันบอกฟ้า


      " เสียดายวะ  เราไม่ชอบคนเลี่ยม "  ฟ้าตัดบท  " แล้วสายน้ำชอบมันเหรอ "


      " ไม่รู้สิ  แต่ก็ชอบอยู่นิดๆนะ "  ฉันตอบฟ้า


                       ในที่สุดวันที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง  วันนี้ฉันและเพื่อนๆตื่นแต่เช้าเพราะจะต้องไปที่สนามกีฬาเทศบาลเพื่อช่วยกันจัดสแตนด์เชียร์ 

                      ฉันไม่รู้ว่าทำไมฉันต้องคอยมองไปที่ลีดส์ธงสีม่วงเพื่อจะมองหาขุนเขาตลอดเวลาเลย  ทั้งๆที่ในใจคิดว่าแค่อยากรู้จักขุนเขาและคงแค่ชื่นชอบในพรสวรรค์ในการแต่งคำประพันธ์  
       
                       ฉันไม่เคยคิดเลยว่าการที่ฉันพยายามสังเกตขุนเขา  มันจะก่อให้เกิดสายใยความผูกพันอันเหนียวแน่นขึ้นในใจลึกๆ  งานกรีฑาสีผ่านไปด้วยดี  สีของฉันได้รับรางวัลชนะเลิศ
      สแตนด์เชียร์  มันทำให้ทุกคนดีใจอย่างที่สุด เพราะทุกคนในสีต่างให้การทุ่มเทไปสุดกำลัง


                      วันเวลาผ่านไป  ฉันก็ไปโรงเรียนตามปกติ  ฉันเพิ่งมารู้ทีหลังว่าขุนเขาขึ้นมาอยู่อังกฤษสีหนึ่ง   สีเดียวกับฉันแล้ว  เมื่อรู้ดังนั้นฉันก็เริ่มคิดแผนการที่จะทำความรู้จักทันที  ฉันเริ่มปรึกษากับแซนด์


      " แซนด์เราอยากรู้จักไอ้คนนั้นอะ   มันแต่งกลอนโคตรเก่งเลย"  ฉันพูดขึ้น


      " ก็เข้าไปทักมันสิ  ง่ายจะตาย "  แซนด์แนะนำ


      " บ้าดิ  อยู่ดีๆไม่เคยรู้จักกัน  แล้วเข้าไปทักหน้าตาเฉยนี่นะ  มันต้องงชัวร์ว่าเราไปทักมันทำไม " ฉันปฏิเสธทันควัน


      " เราต้องวางแผนให้รอบคอบก่อน   เราคิดแผนไว้ละ  เราจะให้มันช่วยต่อกลอนให้ ตอนแรกนะ เราก็จะเข้าไปทักมันว่า นายชื่อขุนเขาใช่ป่าว  นายเป็นคนที่ได้ราววัลชนะเลิศกลอนวันครูใช่ป่าว  อะไรประมาณนี้   แล้วก็ขอให้มันแต่งกลอนต่อให้เราอีกสามบท "   ฉันถามความคิดเห็นในแผนการอันแยบยลของฉันจากแซนด์


      " แล้วเธอจะให้มันต่อกลอนอะไรละ "  แซนด์สงสัย


      " กลอนอกหักที่แบบจมอยู่ในความเศร้าสุดๆ  ประมาณนี้      แหละ "  ฉันตอบแซนด์


      " แล้วถ้ามันถามเธอว่าจะเอาไปทำไมละ  เธอจะตอบมัน            ว่าไง "  แซนด์ซัก


      " นั่นดิ  มันต้องถามแน่ๆเลย  จะตอบว่าไงดีวะ "  ฉันนั่งคิด  " อ๋อ! คิดออกละ  ก็บอกมันว่าเพื่อนเราขอให้เราแต่งให้ แต่เราแต่งต่อไม่ได้ก็เลยมาขอความช่วยเหลือไง " ฉันคิดอย่างแยบยล


      " ถ้ามันถามว่าเพื่อนเธอจะเอาไปทำไมละ "  แซนด์ซักต่อ


      " มันคงไม่สงสัยมากขนาดนั้นหรอกมั้ง "  ฉันตัดบทเพราะหมดคาบเรียนอังกฤษแล้ว


                    ฉันไม่รู้ตัวเลยว่าสายใยแห่งความผูกพันที่อยู่ในใจส่วนลึกของฉันเริ่มพันกันเหนียวแน่นขึ้นทุกวันๆ  ขุนเขาเริ่มกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของใจโดยที่ฉันไม่รู้ตัวเลยจริงๆ  
                 
                     ฉันเริ่มสังเกตขุนเขามากขึ้น  ขุนเขาชอบเดินคนเดียว  แต่ก็ดีละเพราะฉันจะได้ดำเนินตามแผนการได้ง่ายๆหน่อย  แต่จนแล้วจนรอดฉันก็ไม่กล้าเข้าไปทักสักที   ทั้งๆที่มีโอกาสตั้งหลายครั้งหลายครา   เพราะความไม่กล้าของฉัน


                   เวลาก็ล่วงเลยผ่านไป.....  และสถานการณ์ระหว่างฉันกับขุนเขาก็ไม่คืบหน้าเท่าที่ควร


                     ฉันเริ่มทบทวนใจตัวเอง  และฉันก็สงสัยว่าฉันปล่อยให้ใจไปผูกพันกับคนที่เขาไม่รู้จักฉันได้ยังไง   แต่เรื่องราวก็ยังเป็นเหมือนเดิม  เวลาผ่านไปอีก  จนในที่สุดโชคชะตาก็เข้าข้างฉันจนได้  ฉันจำวันแรกที่เรารู้จักกันได้ดี   22  กรกฎาคม  2546


      " นี่ๆ  สายน้ำรู้หรือเปล่า  ไอ้ขุนเขามันเล่น  msn  ด้วย "   ฟ้าบอกฉัน


      " ฮา!!!!  จริงเหรอ  เอาเมลล์มันมาดิ "  ความรู้สึกดีใจตอนนั้นยากเกินอธิบายจริงๆ


      " เราไม่ได้แอดมันไว้อะ  ไอ้ก้านลากมันเข้ามาคุยด้วย  แต่เราไม่ค่อยได้คุยด้วยสักเท่าไรเพราะเราไม่รู้จักมันอะ  ไปถามไอ้ก้าน
       ดิ "  ฟ้าแนะนำ


      " ไม่กล้าอะ  ใช้ไอ้น้อยดีกว่า "  ฉันพึมพำ


      " เฮ้ย..  ไอ้น้อย  วานไรหน่อย  ไปถามไอ้ก้านให้ทีว่าเมลล์ขุนเขาอะไร "  ฉันขอร้องไอ้น้อย


      " เดี๋ยวพรุ่งนี้จะไปถามให้ " ไอ้น้อยรับคำ


      " เอาวันนี้เลยไม่ได้เหรอ  ไอ้ก้านอยู่ตรงนั้นไง  วิ่งเข้าไปถามให้ทีขอร้องละนะ  น้อยผู้แสนดีเท่ห์ระเบิดเถิดเทิง นะนะนะนะนะ  "  ฉันขอร้องไอ้น้อยด้วยความอยากได้สุดๆ   ไอ้น้อยวิ่งเข้าไปถามไอ้ก้านได้สักพักมันก็วิ่งกลับมา


      " xxx @ hotmail.com " ไอ้น้อยบอกฉัน


      " เมลล์อะไรวะ  จำโคตรง่ายเลย   ขอบคุณมากๆๆเลยนะ "  ฉันรู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูกที่ได้เมลล์ของขุนเขามา  เพราะฉันคิดว่าทักทาง msn จะง่ายกว่า  ส่วนแผนการที่วางไว้ก็เหมือนเดิม
      ฉันภาวนาให้ถึงตอนเย็นเร็วๆเพราะจะได้ไปเล่น msn  สักที  ฉันยอมรับว่าวันนี้ตอนบ่ายเรียนไม่รู้เรื่องเลย  แต่ก็ช่างเหอะเพราะฉันเคยตั้งใจเรียนในห้องซะที่ไหน  ค่อยอ่านก่อนสอบก็ได้


                             .....................................................................


                            เย็นวันนี้ฉันรีบไปร้านเนต  ฉันไปร้านเนตประมาณ 17.30น  แต่เวลาปกติของฉันจริงๆแล้วก็ประมาณหกโมงเย็น    ฉันมักจะไปคุยกับดาเพื่อนสนิทคนหนึ่งของฉันที่เดินทางไปเรียนที่นิวซีแลนด์  ไอ้ดามักจะหาเรื่องให้ฉันไปแกล้งหลอกเพื่อนของมันเสมอๆ  ฉันคุยกะไอ้ดาจนเบื่อ 

                         และแล้วในที่สุดขุนเขาก็ออนจนได้  ฉันเริ่มดำเนินตามแผนการที่วางไว้ทันที  แต่เผอิญถึงคราวซวย วันนี้ฉันรีบจนจนลืมหยิบกลอนที่จะให้ขุนเขาแต่งต่อมาด้วย   ฉันก็เลยบอกหัวข้อขุนเขาไป  เวลาเดินไปไม่ถึงสิบนาที  เขาก็แต่งเสร็จ มันสร้างความตะลึงให้ฉันเป็นอย่างมาก  เขามีอะไรที่น่าค้นหามากกว่าที่คิดไว้เสียอีก  เราคุยกันเรื่องคำประพันธ์อยู่นานพอดู  และก่อนที่ฉันจะกลับหอ  ขุนเขาก็ได้ชวนฉันต่อกลอนกันคนละวรรค


              งามหยดย้อยลำธารรักสลักจิต
              งามเพ่งพิศหยาดน้ำลำธารสวรรค์
               งามสลับสายแสงแห่งตะวัน
              งามแสงจันทร์พิลาสสาดราตรี

              ดุจมนตราพาใจให้ลอยล่อง
              ตามครรลองอารมณ์สมราศี
              ดาวดึงส์คะนึงทรวงห้วงวารี
              รัศมีแห่งสวรรค์พลันประกาย

              รุ้งเชื่อมฟ้าเชื่อมดินไม่สิ้นรัก
              ใจประจักษ์รักสมอารมณ์หมาย
              สู่ความงามความฝันอันเพริศพราย
              เลื่อมพรรณรายสายสวาทมิขาดรอน

              สายสัมพันธ์ฉันท์มิตรลิขิตรัก
              ใจเราภักดิ์รักนี้มิทอดถอน
              สายใยรักเธอนั้นประพันธ์กลอน
              ห่วงอาวรณ์ถึงคนรักปักดวงใจ

              กายสนิทชิดเชื้อจุนเจือรัก
              ฤทัยปักรักนี้ศรีไสว
              ดาวและเดือนเคลื่อนคล้อยลอยห่างไกล
              แต่ฤทัยแนบสนิทชิดนิรันดร์


                     วันต่อมาฉันก็ไปโรงเรียนตามปกติ  แต่ฉันก็ไม่ได้เข้าไปทักอะไร  แค่เหลือบมองบ่อยๆ และยิ้มให้เฉยๆก็เท่านั้นเอง  คนเรานี่ก็แปลกเวลาคุยกันทาง msn นี่คุยได้ทุกอย่างเพราะไม่เห็นหน้ากัน  แต่ถ้ามาคุยกันต่อหน้านี่กลับไม่มีเรื่องอะไรจะคุยกันเลย


      " ชาติ  ชาติรู้จักขุนเขาห้องสี่อะป่าว "  ฉันถามเพื่อนคนหนึ่งในห้อง


      " ขุนเขาอะเหรอสายน้ำ  รู้จักสิก็แม่ของมันอะเป็นครูสอนภาษาไทยที่โรงเรียนเดิมของชาติเอง  สอนโคตรดีเลย  มนุษยสัมพันธ์ก็ดีด้วย  คุยเก่งอะ  ตอนนั้นชาติสนิทกับแม่มันมากเลย  ได้เกรดสี่ภาษาไทยตลอด   เออ... แล้วแม่ของมันนะยังเคยเอารูปมันกับน้องให้ชาติดูด้วย  น้องมันชื่อไบท์อะ น่ารักดี  "  ชาติเล่า


      " พ่อมันเป็นหมอฟัน  แล้วแม่มันเป็นครูภาษาไทย แล้วมาเจอกันได้ไงวะ "  ฉันสงสัย  เพราะเรียนคนละสายทางกันเลย


      " เราก็ไม่รู้เหมือนกันนะ " ชาติตอบ  ฉันมารู้ทีหลังจากขุนเขาว่าพ่อกับแม่ของขุนเขาเจอกันที่ห้องสมุดประชาชนแบบเรื่องราวเหมือนนิยายมากเลย  บุพเพสันนิวาสสุดๆ


      " ไม่เปนไร  เราแค่ถามเฉยๆ "  ฉันตอบกลับ


      " สายน้ำถามทำไม  ชอบขุนเขาเหรอ  มันก็ดูดีนะ "   ชาติถามฉัน


      " อืม  เราชอบมันอะ "   ฉันตอบไปตามตรงเพราะไม่อยากโกหก


      " แล้วมันรู้หรือเปล่าว่าสายน้ำชอบ "  ชาติสงสัย


      " น่าจะรู้นะ  แต่เราไม่เคยบอก  เราต้องไปละ "  ฉันตัดบท


                    ฉันไปเล่น msn  กับขุนเขาเกือบทุกวัน  ส่วนมากก็จะคุยกันเรื่องกลอนและกาพย์ยานี  ขุนเขาบอกว่า ขุนเขาชอบแต่งกาพย์ยานีมากกว่ากลอนเพราะแต่งง่ายดี  ใช้คำน้อยกว่า  ขุนเขามักจะเอากลอนและกาพย์ยานีที่ขุนเขาแต่งมาให้ดูเสมอ  และเราก็มักจะต่อกลอนและกาพย์ยานีกันถ้ามีอารมณ์  ตอนนี้ฉันมีความมั่นใจอยู่ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า ฉันต้องชอบขุนเขาแน่ๆ  ในที่สุดฉันก็ตกเข้ามาอยู่ในห้วงความรักจนได้  ทั้งๆที่เคยคิดว่าคงไม่มีใครที่จะทำให้ฉันสนใจได้  
            
                ขุนเขาจะรู้ไหมว่า   เวลาที่ฉันไปโรงเรียนฉันต้องพยายามหาว่าขุนเขาอยู่ที่ไหน  อยากเจอ  อยากเห็นหน้า  แต่ฉันก็ยังเป็นเหมือนเดิม คือ ไม่กล้าเข้าไปคุยอะไรมากมาย  เพราะฉันคงไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าฉันชอบขุนเขา  ไม่รู้ทำไมฉันต้องไปสนใจความคิดของคนอื่นด้วยนะ  และอีกอย่างหนึ่งมันคงจะดูน่าเกลียดถ้าฉันทำอย่างนั้นเพราะคำจำกัดความของคำว่าผู้หญิง  ทำไมนะ! ทำไมถึงไม่ยอมทำตามที่หัวใจของตัวเองเรียกร้องสักที  เฮ้อ..........


      " เฮ้!! หวัดดีสายน้ำ  เรามีอะไรจะบอกแก "  ก้อยทักฉันเมื่อเห็นฉันเดินผ่าน


      " อะไร  เกี่ยวกับขุนเขาเหรอ "  ฉันสงสัย


      " เออ!  แกเลิกชอบมันได้แล้ววะ "  ก้อยพูดสีหน้ากวนอารมณ์ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว


      " ทำไมอะ  ทำไมต้องเลิกชอบด้วย "  ฉันรู้สึกงงไปหมด


      " แกรู้ป่าว  มันไปชอบรุ่นน้องห้อง 8 ชื่อน้องชามอะ  น่ารักนะจะบอกให้ "  เมื่อฟังไอ้ก้อยพูดจบ  ฉันรู้สึกหวิวๆในใจอย่างบอกไม่ถูก


      " ก็ช่างมันดิ มันจะชอบใครก็เรื่องของมัน  เราไปห้ามจิตใจคนไม่ได้หรอกวะ  เพราะแม้แต่ใจตัวเราเองยังห้ามไม่ได้เลย "  แม้จะรู้สึกหวิวๆแต่ฉันก็ดื้อดึงตอบไปอย่างนี้


      " สรุปว่าแกจะไม่ตัดใจจากมันใช่ไหม  ตามใจแก  แต่ถ้าอยากเห็นภาพบาดตาบาดใจนะ ตอนหลังเลิกเรียน  ไอ้ขุนเขามันจะเข้าไปคุยกับน้องเขา  มันเข้าไปจีบอะ  อย่าลืมซะละ " ก้อยบอก


      " นี่ไอ้ก้อย แกหยุดพูดไปเลย  ไม่ให้กำลังใจเพื่อนบ้างเลย
      "  ฉันเริ่มเซ็ง


      " ไปละ  แกอย่าลืมไปดูภาพบาดตาบาดใจละ "  ก้อยย้ำ  มันยังคงกวนตีนตามแบบฉบับของมันเสมอ 

                    ฉันรู้สึกหวิวๆข้างในร่างกายเหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่าง  ฉันไม่ชอบความรู้สึกนี้เลย  มันทำให้ฉันอยากร้องไห้แต่ฉันไม่มีวันร้องไห้ให้ใครเห็นหรอก  

                ฉันพยายามปรับความรู้สึกก่อนที่น้ำตามันจะไหลออกมา  ฉันชักไม่แน่ใจละว่า ความรู้สึกของฉันที่มีต่อขุนเขา มันแค่ชอบหรือมากกว่าชอบกันแน่  ถ้าแค่ชอบก็คงตัดใจได้ไม่ยาก  แต่ถ้าให้ฉันตัดใจตอนนี้ฉันก็คงต้องเสียใจมาก

                    เอาเหอะ!!! ฉันพยายามคิด ขุนเขาจะชอบใครอีกสักกี่คนก็เรื่องของขุนเขา  แต่ความรู้สึกที่ฉันมีต่อขุนเขาก็จะไม่มีวันเปลี่ยนไป  เพราะหัวใจของทุกคนมีสิทธิ์ที่จะรักใครก็ได้  แต่เขาจะรักเราหรือไม่นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง   

                 ความรักนี่ก็แปลก  ถ้าเราพยายามวิ่งเข้าหาความรัก    ความรักกลับวิ่งหนีเราไปจนลับตา  เหลือทิ้งไว้เพียงอนุสรณ์คราบน้ำตาและซากแห่งความว่างเปล่าที่แสนมืดมนซึ่งจะคอยกัดกร่อนหัวใจไปวันๆ  

                 ฉันไม่เข้าใจเลยจริงๆ.....  บางครั้งความรักก็ทำให้เรารู้สึกเหมือนคนโง่  ที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อเขา  ทั้งๆที่ก็รู้ว่าผลสุดท้ายจะเป็นอย่างไร  แต่ก็ยอมเป็นคนโง่เพราะความรัก


                       ....................................................................................


                วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังนั่งทานข้าวกลางวันกับพวกเพื่อนๆ   พวกเขาก็ดันพูดเรื่องความรักกัน  และในที่สุดก็วกมาเข้าเรื่องของฉันกับขุนเขาจนได้


      " นี่สายน้ำ  ถามจริง  ชอบไอ้ขุนเขาจริงๆเหรอ "  โอถามขึ้น
      หมวยดันพูดแทรกขึ้นก่อนที่ฉันจะทันตอบ  " โคตรชอบเลยละสิ  มันไปเล่น msn จนดึกทุกวันก็เพราะไอ้ขุนเขาคนเดียว  ฝนตกฟ้าร้องมันยังไปเลย " 

       
      " นี่ๆ  เราเล่นกับเพื่อนคนอื่นๆด้วยโว้ย  ไม่ใช่เฉพาะกับขุนเขาคนเดียว "  ฉันพยายามแก้ตัว  ทั้งๆที่จุดประสงค์ที่ไปก็เพราะอยากคุยกับขุนเขา  เพราะถ้าวันไหนไม่ได้คุย  มันเหมือนชีวิตขาดอะไรไปสักอย่าง


      " ทำไมไม่บอกมันตรงๆไปเลยว่าเธอชอบมัน " โอถาม


      " บอกไปแล้วได้อะไร  มันไม่ได้ชอบเราสักหน่อย  มันไปชอบรุ่นน้องนู่น "  ฉันตอบ


      " แล้วเธอจะทนชอบมันอยู่อย่างนี้เหรอ  ทั้งๆที่เธอก็รู้ว่ามันไม่ได้มีใจให้เธอเลยสักนิด " โอคงพยายามพูดให้ฉันตัดใจให้ได้สินะ
       

      " ก็จะให้เราทำไงละ  ก็ชอบไปแล้วนี่  เราไม่ได้เบื่อใครง่ายๆเหมือนเธอนะ "   ฉันเริ่มรำคาญเพราะไม่ชอบให้ใครเข้ามายุ่งเรื่องส่วนตัวของฉันมากนัก   แม้ว่าพวกเขาจะยุ่งเพราะเป็นห่วงฉันก็ตาม  แต่ฉันคิดว่าฉันก็มีความคิดเป็นของตัวเองพอที่ไม่จำเป็นต้องให้ใครมายุ่ง


      " ไหนตอนแรกเธอบอกว่า  เธอแค่อยากรู้จักที่มันแต่งกลอนเก่งไง " หวานถามขึ้นบ้าง


      " สรุปนะเราชอบมันไปละ  ไม่ว่ามันจะเป็นยังไง  จะดีหรือเลวในสายตาของพวกเธอหรือใครๆ  ฉันก็ยังคงชอบมันอยู่อย่างนี้แหละ "  ฉันตัดบท


      " แต่เธอจะทนเจ็บต่อไปอย่างนี้เหรอ  เธอจะทนรักคนที่ไม่ได้รักเธอเลยสักนิดได้เหรอ " โอยังไม่ยอมหยุดพูด   " ตัดใจซะตั้งแต่ตอนนี้ยังเสียใจน้อยกว่าเธอทนเจ็บต่อไปอย่างนี้นะ "


      " เราตัดใจไม่ได้แล้ววะ  เราต้องเจอหน้ามันทุกวัน   มันคงทรมานน่าดูที่เราต้องทำอะไรขัดกับความต้องการของหัวใจตัวเอง  เราทำไม่ได้จริงๆ "  ฉันยังคงยืนยันคำตอบเดิม


      " ความรักทำให้คนตาบอด "  กานต์พูดขึ้น


      " พวกเธออาจจะมองว่าเราโง่ที่เป็นอย่างนี้  แต่เราก็ยอมโง่เพราะความรัก  เราไม่โทษใครหรอก  ถ้ามันผิดพลาดก็เพราะตัวเราเอง  เรามีความคิดเป็นของตัวเอง   เราไม่อยากทำอะไรที่ขัดกับหัวใจของตัวเอง  แม้ว่าสิ่งที่เราทำลงไปมันจะเป็นสิ่งที่โง่มากๆในสายตาของคนอื่น "  ฉันตัดบท


                          ฉันเคยคิดว่าฉันรู้จักความรักในหลายรูปแบบในหนังสือนวนิยายที่อ่าน  แต่เปล่าเลย  บางอย่างมันอาจจะเหมือนบ้าง  แต่ก็ไม่หมดเพราะความรักไม่ได้สมหวังเสมอไป  แต่ฉันก็ยังเชื่อเสมอในใจลึกๆว่า 

                " ความรักยังมีหวัง ตราบเท่าที่ยังมีวันที่รอคอย "    

                        ฉันเข้าใจละว่าทำไมคนเราต้องยอมทนทุกข์เพราะความรัก  คนทุกคนต่างก็รู้ว่าเมื่อหัวใจมีความรักก็ต้องมีความทุกข์ตามมา  แต่ทุกคนก็ยังพยายามใฝ่หาความรักอยู่ตลอดเวลาเพราะจิตใจของคนเราจะอยู่โดยขาดความรักไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นความรักในรูปแบบใดก็ตาม ฉันพยายามบอกกับตัวเอง 

                             " ถ้ารักแล้วอย่าเสียใจที่ได้รัก "  

                     ฉันไม่เคยเสียใจกับการกระทำของฉัน  และไม่เคยเสียใจเลยที่ขุนเขาได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของใจแม้ว่าฉันจะไม่เคยเข้าไปอยู่ในใจของขุนเขาเลยก็ตาม  ฉันไม่รู้ว่าทำไมต้องรักขุนเขามากมายทั้งๆที่ขุนเขาอาจจะไม่เหมือนคนที่ฉันใฝ่ฝันทั้งหมด เพราะบางอย่างเราก็เข้ากันไม่ได้  คงไม่มีใครในโลกนี้หรอกนะที่เหมือนกันทุกอย่าง  

                 ความรักทำให้คนเราต้องปรับตัวเข้าหากันเพราะความรักคือความเข้าใจและเชื่อในกันและกัน  ภายนอกขุนเขาอาจจะดูเป็นคนไร้อารมณ์  เย็นชา  และเงียบ  ไม่มีใครสามารถทายความคิดของเขาออกทางสีหน้า  แต่ไม่รู้ทำไมบุคลิกของขุนเขายิ่งทำให้ฉันอยากค้นหา  

                 ฉันชอบคนลึกลับ  เป็นตัวของตัวเองอย่างนี้แหละ  ขุนเขาชอบทำตาโตเหมือนเด็กที่ซื่อ  บริสุทธิ์ไร้เดียงสา  แต่ขุนเขาจะรู้ไหม เวลาที่ฉันเห็นขุนเขายิ้มโลกทั้งโลกสดใสขึ้นมาเป็นกองเลย  ถ้าเป็นไปได้นะ  ฉันอยากเห็นขุนเขายิ้มทุกชั่วโมงเลย  

                 ฉันอาจจะเคยได้ยินใครหลายๆคนพูดถึงขุนเขาในทางไม่ดีอย่างนั้นไม่ดีอย่างนี้  แต่มันก็ไม่เคยทำให้ฉันลดความศรัทธาในตัวของขุนเขาลงได้เลย เพราะฉันเชื่อและศรัทธาในความรักและหัวใจของตัวเองอยู่เสมอ  

                 จนวันหนึ่งฉันตัดสินใจบอกขุนเขาว่าฉันชอบขุนเขา  แต่ฉันคิดว่าขุนเขาคงรู้อยู่แก่ใจแล้วละ  เพราะคงไม่มีใครไร้เซนส์ไม่รู้ว่าใครชอบเราอยู่ แต่ฉันก็ไม่ได้คิดจะบอกต่อหน้าหรอกใครจะไปกล้าละ แค่คิดที่จะบอกนี่ก็สุดๆละ ฉันคิดจะบอกรักขุนเขาทาง msn 


        " นี่ๆ ขุนเขา  ถ้าเราไปชอบใครคนหนึ่ง  แล้วเราจะบอกเขาดีไหม ทั้งๆที่เราก็รู้ว่าเขาไปชอบคนอื่น และไม่ได้ชอบเราเลยสักนิด "  ฉันพิมพ์ข้อความนี้ถามไปก่อนเพื่อเรียกความมั่นใจ 


      " ก็บอกเลยดิ  ไม่เห็นเป็นไรเลย  คนเรามีสิทธิ์ที่จะชอบ  แล้วว่าแต่ไปชอบใครละ " ขุนเขาพิมพ์ตอบกลับมา  แต่ฉันก็ยังไม่กล้าบอกตรงๆอยู่ดี


      " ให้ทาย อยู่สายวิทย์  เรียนเก่ง  เกรดเกือบสี่จุด "  ฉันพิมพ์กลับไป


      " เกือบสี่จุดนี่หมายถึง 3.8 ขึ้นใช่ป่าว " ขุนเขาสงสัย


      " ก็ประมาณนั้น  อ้อ!! อีกอย่างหนึ่งเราเคยดูตามันแล้วล่ะ ตาสีน้ำตาลเข้ม "  ครั้งหนึ่งขณะที่ขุนเขาออกมานั่งทำมิวสิคอยู่หน้าห้อง  ฉันเคยเข้าไปถามว่าตาขุนเขาสีอะไร ตอนแรกฉันนึกว่าขุนเขาตาสีดำ แต่ไม่ใช่ ตาขุนเขาสีน้ำตาลเข้มสดใส


      " ก็เราไง " ขุนเขาพิมพ์ตอบกลับมา  ทายถูกซะด้วยสิ


      " อิอิ  ถูกละ  เราชอบขุนเขานะ ไม่ว่าขุนเขาจะชอบใครเราก็จะชอบขุนเขานะ "  ฉันรู้สึกโล่งใจที่ได้บอกไป


      " เรารู้ตั้งแต่วันที่เธอมาแอดเราแล้วละ  คนที่มาแอดเราก่อนอะมาจีบเราทั้งนั้น "  ขุนเขาพิมพ์กลับมา


      " แต่ตอนนั้นเราไม่ได้จีบขุนเขานะ  แค่อยากรู้จักที่แต่งกลอนเก่ง ถ้าจีบยิ่งกว่านี้โว้ย " ฉันพยายามแก้ตัว  แต่ถ้าคิดย้อนกลับไปนะ ฉันก็รู้สึกถูกชะตากับขุนเขาตั้งแต่วันแรกที่เห็นละ


      " เหอๆๆ "  ขุนเขาพิมพ์กลับมา


      " แต่เป็นเพื่อนกันดีที่สุดละ "   ฉันพิมพ์ไปเพราะคิดว่าความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนนั้นยืนยาวตลอดไป   ส่วนความสัมพันธ์ฉันท์คนรักนั้นไม่ยืนยาว  เพราะสักวันหนึ่งก็ต้องเลิกกันและความสัมพันธ์ก็อาจไม่เหมือนเดิม  และอีกอย่างหนึ่งฉันก็รู้ตัวดีอยู่แล้วว่าขุนเขาไม่มีทางมาสนใจคนอย่างฉันหรอก  แค่ได้รู้จักก็คงดีที่สุดสำหรับฉันละ


      " อืม เป็นเพื่อนกันเนอะ "  ขุนเขาพิมพ์ตอบกลับมา   " เราไม่ชอบให้ใครมาชอบเราก่อนอะ  เราไม่อยากทำให้ใครเสียใจ   เราอยากเลือกให้ดีที่สุด "  


      " อืมนะ  เราเข้าใจ "  ฉันตอบรับ

                    ขอโทษนะขุนเขา....  ที่ฉันบังคับหัวใจตัวเองไม่ให้ชอบขุนเขาไม่ได้  ถ้าหากฉันต้องเสียใจเพราะความรู้สึกดีๆที่มีให้ขุนเขา  ขุนเขาก็ไม่ผิดเพราะฉันเป็นคนเลือกทางเดินความรักของฉันเอง  

                ไม่ว่าผลสุดท้ายจะเป็นยังไงฉันก็ต้องทนยอมรับมันให้ได้  ฉันเข้าใจนะว่าทุกคนย่อมต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง  ทุกคนก็ต้องเลือกคนที่ตัวเองชอบและฉันก็สนับสนุนขุนเขาเป็นอย่างยิ่ง  

                ขุนเขาจงเลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเองเถอะ  เพราะฉันคิดว่าความรักที่แท้จริงคือการเห็นคนที่เรารักมีความสุข  แม้ตัวเองต้องทนทุกข์แค่ไหนก็ตาม  ฉันก็รู้ดีนะว่าความรักในวัยนี้มันไม่ได้ยืนยาวอะไร  เพราะเรายังต้องไปเจอะเจอคนอีกตั้งมากมาย คนที่เราพบตอนนี้เขาอาจจะไม่ใช่คนที่ใช่จริงๆสำหรับเราก็ได้  แต่ฉันก็ไม่ได้หวังอะไรกับความรักในอนาคตมากนักเพราะชั่วชีวิตนี้ฉันอาจจะไม่เจอคนที่ใฝ่ฝันอีกเลยก็ได้


                ฉันไม่อยากหวังอะไรกับอนาคตที่ยังมองไม่เห็น  แต่ก็ไม่คิดที่จะจมอยู่กับอดีตอันเลวร้ายที่เป็นดังเงาคอยกัดกร่อนใจ ปัจจุบันต่างหากเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดของชีวิต  จงทำในสิ่งที่หัวใจเราต้องการ  ตามแต่อิสระแห่งหัวใจจะพาไป  แต่สิ่งนั้นต้องไม่ขัดกับความรู้สึกผิดชอบชั่วดี

                  ฉันมั่นใจว่าฉันไม่มีวันทำความผิดเพื่อเรียนรู้ตัวเองแน่ๆ  การกระทำทุกอย่างของฉันคือสิ่งที่อิสระแห่งหัวใจได้ตัดสินแล้วว่าไม่ผิด  แม้ในสายตาของใครๆมันจะเป็นสิ่งที่ผิดมหันต์ก็ตาม

                     ..................................................................


                   วันเวลาล่วงเลยผ่านไป  ฝ่ายกีฬาระดับมัธยมปลายได้มีการจัดการแข่งขันฟุตซอลขึ้น   จะมีการแข่งขันกันวันละสองเวลาคือ  ตอนพักเที่ยงกับหลังเลิกเรียน สนามแข่งขันก็คือโรงยิม  ขุนเขาเคยบอกว่าชอบเล่นฟุตบอล  ขุนเขาต้องลงเล่นแน่ๆ  

                    ขุนเขาบอกกับฉันว่าเขาจะลงแข่งในตอนเย็นของวันหนึ่ง  ฉันสัญญากับขุนเขาไว้ละว่าจะต้องไปดูให้ได้  และแล้วเย็นที่ขุนเขาแข่งก็มาถึง  

                    คาบสุดท้ายของวันนี้ฉันต้องเรียนเกษตรซึ่งวันนี้เป็นวันที่ซวยสุดๆเพราะต้องไปถางหญ้ารอบๆแปลง  ซึ่งหญ้าก็รวมใจกันขึ้นเยอะมาก  ฉันกับเพื่อนๆถางหญ้าไม่ทันจะเสร็จ  การแข่งขันฟุตซอลก็ได้เริ่มขึ้นแล้ว  

               ใจของฉันเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัว  ฉันเริ่มกระวนกระวายจนเห็นได้ชัด  เพื่อนๆก็เลยแยกย้ายกันกลับบ้าน  และไล่ฉันไปดู   ฉันรีบวิ่งไปโรงยิมอย่างสุดชีวิตโดยยังไม่ได้ไปล้างมือเลย  เมื่อไปถึงฉันก็เจอกับก้อยและติ๋วพอดี  


      " นี่ๆสายน้ำ นั่นไงน้องชามที่ไอ้ขุนเขาชอบ" ไอ้ก้อยฉันดูน้องชามซึ่งคงจะมาเชียร์ขุนเขา


      " เออน่าเห็นแล้ว  ดีแล้วที่น้องเขามาเชียร์ มันจะได้มีกำลังใจเล่น "  ฉันตอบก้อยทั้งๆที่เริ่มรู้สึกหวิวๆอีกละ


      " แกอะตัดใจได้ละ  แกจะยอมโง่ชอบคนที่ไม่ได้ชอบแกอย่างนี้เหรอ "  ไอ้ก้อยพูด


      " ไปหาที่นั่งเหอะ "  ฉันตัดบท  เพราะไม่อยากเสวนาเรื่องนี้  มันจะทำให้ฉันรู้สึกเจ็บลึกๆในใจทุกทีที่มีใครคุยเรื่องนี้  ก้อยและติ๋วนำทางไปนั่งแถวกองเชียร์ห้อง5/7 พอดี  

                      ตอนนั้นขุนเขากำลังแข่งฟุตซอลอยู่ในสนาม  แต่ไม่รู้ทำไมตอนนี้ฉันรู้สึกไม่มีสมาธิดูเลย  ทำไมฉันต้องไปคิดถึงคำพูดของไอ้ก้อยเวลานี้ด้วยนะ  ความรู้สึกเหมือนน้ำตาจะไหลออกมาละ  

                    ทำไมนะ!! ทั้งๆที่ฉันก็พยายามย้ำกับตัวเองอยู่เสมอว่า  ระหว่างเราเป็นแค่เพื่อนกัน  ฉันจะทนไม่ไหวอยู่แล้วนะ


      " ก้อยๆ เรายังไม่ได้ล้างมือเลย  เพิ่งเรียนเกษตรมานี่   ขอออกไปล้างมือก่อนนะ "  ฉันพูดจบก็รีบวิ่งออกไปก่อนที่น้ำตาจะไหลออกมา  

                 ฉันออกไปล้างมือแล้วก็พยายามทำใจอยู่ข้างนอกสักครู่  และก็รีบกลับเข้ามาไม่ให้ผิดสังเกต  ตอนที่ฉันกลับเข้ามานั้น   ขุนเขาได้เปลี่ยนตัวกับคนอื่น และมานั่งพักอยู่ที่นั่งข้างหน้า


      " เฮ้ย  สายน้ำ  แม่ติ๋วมารับแล้ววะ  เราต้องไปแล้วนะ " กิ๋วพูดพร้องกับลุกขึ้นเดินออกไปข้างนอกกับตาลทันที


      " เฮ้อ...  แล้วเราก็ต้องอยู่ที่นี่คนเดียวอีกละสิ " ฉันพึมพำกับตัวเอง  แล้วเผอิญสายตาเจ้ากรรมดันเหลือบไปเห็นขุนเขาที่กำลังนั่งพักอยู่แถวหน้ากำลังมองหาคนที่เขาชอบ  

             หัวใจเจ้ากรรมซึ่งไม่ยอมเข้าใจอะไรบ้างเลยก็เกิดอาการเจ็บแปลบขึ้นมาอีก  ทำไมฉันต้องรู้สึกแบบนี้ด้วยนะ  ทั้งๆที่ก็ตกลงกับขุนเขาไปแล้วว่าเราจะเป็นเพื่อนกัน  แล้วหัวสมองตัวดีก็ดันไปคิดถึงเพลง   I  don't  wanna   fight   ของ  Westlife


      I don't  wanna  fight  no  more
      I  forgot  what I was  fighting for
      as lonely  as is in my heart
      Won't let me be apart from you
      I don't wanna have to try  
      Boy, to live without you in my  life
      So hoping we can start tonight
      Coz I don't wanna  fight  no more


                ฉันไม่อยากทนต่อสู้อีกต่อไปแล้ว  ฉันไม่รู้ว่าฉันต่อสู้ไปเพื่ออะไร ความรู้สึกในใจตอนนี้มันเลวร้ายมากจริงๆ  มันทรมานแสนสาหัสดั่งหัวใจถูกบีบจนแหลกสลายไป  ใครไม่มาเป็นฉันก็ไม่มีวันเข้าใจความรู้สึกนี้หรอก  

                 ฉันเกือบจะลุกออกไปตั้งหลายครั้ง  เพราะในเมื่อขุนเขามีคนที่เขาชอบมาเชียร์อยู่ละ  ฉันก็ไม่รู้จะอยู่ไปทำไม  และฉันก็ทนต่อความรู้สึกเจ็บปวดที่มันประดังอยู่ในหัวใจอีกต่อไปไม่ไหวแล้ว  

                   ฉันพยายามสงบสติอารมณ์อยู่นานทีเดียว  ฉันต้องรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับขุนเขาสินะ  แม้เขาอาจจะไม่คิดว่ามันเป็นสัญญา  แต่ฉันก็ต้องรักษาสัญญาที่บอกว่าจะมาเชียร์  ฉันต้องดูการแข่งขันให้จบสิ  ฉันต้องทนดูขุนเขามีความสุขได้สิ  

                    จำไว้!!! ไม่มีอะไรที่สายน้ำทำไม่ได้   และแล้วฉันก็นั่งดูการแข่งขันจนจบ  ขุนเขาทำประตูตั้งหนึ่งลูก  แต่ก็แพ้รุ่นพี่ 4-2   ขุนเขามาบอกฉันทีหลังว่า ใครไม่รู้เตะขาขุนเขา  น่าสงสารจริงๆเลย..... 

                          ...........................................................................


                      วันเวลาล่วงเลยผ่านไปอีกละ  ตอนนี้เหลือเวลาอีกไม่กี่อาทิตย์ก็จะสอบปลายภาคแล้ว  ฉันยังไม่ได้ทบทวนอะไรสักอย่างเพราะมัวแต่คิดเรื่องขุนเขา ไม่รู้ว่าเอาอะไรมาคิดตั้งมากมาย  

                      บางครั้งฉันก็เคยคิดว่าทำไมฉันต้องชอบขุนเขาตั้งมากมายทั้งๆที่ขุนเขาก็ไม่เคยชอบฉันเลยสักนิด  ฉันไม่นึกเลยว่า ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งที่อาจจะไม่ดีในสายตาของหลายๆคน  เขาจะทำให้ฉันบ้าได้มากขนาดนี้  

                    ฉันเคยท้อใจอยู่ตั้งหลายครั้งว่าฉันกำลังทำอะไรโง่ๆอยู่หรือเปล่า  ฉันต่อสู้ไปเพื่ออะไรเพราะสิ่งที่ได้กลับคืนมาก็เป็นเพียงความว่างเปล่า 

                     ฉันอาจจะเป็นคนโง่มากในสายตาของขุนเขา  แต่ฉันก็ต้องพยายามทำใจให้ได้   ใครบอกให้เผลอใจไปมีความรักล่ะ  จำไว้!! ถ้ารักแล้วอย่าเสียใจที่ได้รัก  

                     ฉันคงไม่มีค่าในใจของขุนเขาเลยสักนิด  ฉันรู้ดีว่าสักวันหนึ่งขุนเขาก็คงลืมเลือนฉันไปจากความทรงจำ   แต่อย่างน้อยฉันก็ดีใจอย่างที่สุดละที่โชคชะตาไม่ได้ใจร้ายจนเกินไป  โชคชะตายังทำให้เราได้รู้จักกัน  ได้เป็นเพื่อนกัน  

                 ถ้านับจากวันแรกที่ฉันเห็นขุนเขาจนถึงวันนี้ก็  89 วันแล้วสินะ  แต่ถ้านับจากวันที่เรารู้จักกันครั้งแรกก็   46 วันเอง  ไม่นานเลยนะ  แต่ความรู้สึกมันเหมือน กับเรารู้จักกันมานานมากเลย  คงเป็นเพราะที่เราคุยกันทาง  msn  เกือบทุกวัน  ถึงแม้ว่าอยู่โรงเรียนฉันจะไม่ค่อยกล้าเข้าไปคุยอะไรมากก็ตาม  

                    เป็นครั้งแรกที่ฉันไม่อยากให้ปิดเทอมเลย ถ้าปิดเทอมฉันก็ไม่ได้เจอขุนเขานะสิ  เล่น msn ก็ไม่ได้  และยังไม่รู้เลยว่าฉันจะมีความกล้าพอที่จะโทรไปคุยกับขุนเขาหรือเปล่า  มันคงจะเป็นช่วงเวลาที่ทรมานมาก  ฉันคงต้องคิดถึงขุนเขามากแน่ๆ  

                  ขุนเขา....  วันใดที่ขุนเขามีปัญหาหรือขุนเขาไม่เหลือใครที่อยู่ข้างกาย  จำไว้นะขุนเขา ยังมีเพื่อนคนนี้อยู่  เพื่อนคนนี้พร้อมที่จะช่วยเหลือทุกอย่าง  ไม่ว่าปัญหานั้นมันจะหนักหนาสาหัสแค่ไหน  ฉันจะช่วยขุนเขาเองถ้าขุนเขาต้องการ  เพียงแต่เอ่ยปาก  ฉันก็จะทำให้ถึงที่สุดเท่าที่ความ สามารถของผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งจะทำได้!!!  

                 ผู้หญิงคนนี้อาจจะดูไม่มีค่าอะไรเลยสำหรับขุนเขา  แต่ก็มีความจริงใจ   แต่อะไรล่ะที่จะพิสูจน์ได้นอกจากกาลเวลา   เฮ้อ......  ขุนเขา   ไม่ว่าเหตุการณ์ในวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไรต่อไป  ขุนเขาจะอยู่ในความทรงจำของสายน้ำตลอดไป  

          ..........I  promise  you  will  be in  my memory  forever........



      Will  I  always be there  for  you
      When  you  need someone
      Will  I  be  that one you  need
      Will  I  do all  my  best  to
      To  protect  you

      When  the  tears get near  your eyes
      Will  I  be  the  one  that by  your  side
      Will  I  be  there  when you  call  me in  the  middle of  the  night
      Will  I  keep  the  rain  from  falling  down  into  your  life
      I  promise  I  promise
      I  promise I  will

      Will  I take tender  care of  you
      Take  your  darkest   night
      And  make  it  bright  for you
      Will  I  be  there  to  make you  strong
      And  to  lean on

      When  this  world  has turned  so  cold
      Will  I  be  the  one  that's  there  to  hold
      I  promise  I  promise  I  will

      And  I love you more  every  day
      And  nothing  will take  that  love  away
      When  you  need  someone
      I  promise  I'll  be  there  for  you

                           ...................................................

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×